Thursday, December 15, 2016

นิยายโรแมนติก คอเมดี้ขายดี Yoru wa Mijikashi Arukeyo Otome ถูกแปลงเป็นภาพยนตร์อนิเมแล้ว โดย TOHO พร้อมปล่อย PV เพลงประกอบโดย Asian Kung-fu Generation พร้อมลงโรง 7 เมษา 2017




เมื่อเช้านี้ทางช่อง Youtube ของ TOHO ได้ปล่อยคลิป PV ของภาพยนตร์อนิเมชั่น สาวน้อยยามเย็นนี้ออกมา ซึ่งแปลงมาจากนิยายของ Morimi Tomihiko โดยจากที่เห็นลายเส้นอนิเมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะเหมือนเรื่อง Yojouhan Shinwa Taikei เพราะเป็นทีมงานเดียวกันนั่นเอง สำหรับเพลงประกอบก็ได้วง Asian Kung-fu Generation ที่ฝากผลงานประกอบอนิเมไว้หลายเรื่อง (FMA, ERASED)

เนื้อเรื่องเล่าถึงพระเอกรุ่นพี่ (CV: Hoshino Gen) ที่ตกหลุมรักสาวน้อยผมดำที่เดินเล่นอยู่ในงานหนังสือมือสอง ซึ่งสาวน้อยก็ไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของรุ่นพี่คนนี้ แต่สิ่งที่น่าตื่นใจถัดจากนี้คือเหตุการณ์สุดประหลาดที่รอสองคนนี้อยู่!?

ตัวภาพยนตร์จะฉายวันที่ 7 เมษายน 2017 ตัวนิยายได้รับรางวัล Yamamoto Shuugorou Award ครั้งที่ 20 และได้อันดับ 4 หนังสือขายดีในปี 2007 ทั้งยังถูกแปลงเป็นมังงะมาแล้วด้วย
ดูทรงแล้วปี 2017 เป็นปีที่น่าจับตามองของภาพยนตร์อนิเมชั่นเลยทีเดียว เพราะนอกจาก หลายเรื่องที่เคยลงไปแล้ว (Hirune Hime, Fireworks) เรื่องนี้ก็ดูน่าสนใจในหลาย ๆ ด้าน ทั้งลายเส้น และแนวโรแมนติกคอเมดี้ที่มักพบในรูปแบบซีรี่ย์มากกว่าภาพยนตร์

PV:
https://www.youtube.com/watch?v=tmr6VSOW4zU

Source:
http://natalie.mu/music/news/213291

ติดตามได้ในเพจ
https://www.facebook.com/MAGzseen/

Wednesday, November 23, 2016

เทรลเลอร์ใหม่ของ Hirune Hime ภาพยนตร์อนิเมของผู้กำกับ Eden of the East นำเพลงดังของอเมริกันยุค 60 มา Cover ใหม่เป็นเพลงประกอบ


https://www.youtube.com/watch?v=lwosha9tmDs

ตัวอย่าง Hirune Hime หรือ Napping Princess ที่จะฉายในญี่ปุ่นวันที่ 18 มีนาคม 2017 มีจุดเด่นสำคัญอยู่ในเพลงประกอบที่มีชื่อว่า "Daydream Believer" ซึ่งเป็นเพลง Cover ของเพลงอเมริกันชื่อเดียวกันของวง The Monkees ที่ออกมาใน ปี 1967 และได้ Mitsuki Takahata ที่ให้เสียง "โคโคเนะ" ตัวเอกของเรื่องมาขับร้อง ส่วนทางด้านดนตรีได้ Yoko Shimomura ที่ทำเพลงประกอบ Kingdom Hearts มาบรรเลง

ทางด้านผู้กำกับอย่าง Kenji Kamiyama (Eden of the East, Ghost in the Shell SAC) ยังกล่าวอีกด้วยว่าเพลงนี้จะเป็นส่วนสำคัญในในการดำเนินเรื่องไปจนถึงตอนจบ ซึ่งเพลงนี้ร้องแทนความรู้สึกของผู้ที่จากไปแล้ว

เนื้อเรื่องของ Hirune Hime วางอยู่ในจังหวัดโอคายามะในปี 2020 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก "โคโคเนะ" อาศัยอยู่กับพ่อที่ชอบดัดแปลงรถอยู่เสมอ จนกระทั่งโคโคเนะพบกับความฝันแปลก ๆ ที่เปิดเผยความลับในครอบครัวของเธอ

Source
http://mantan-web.jp/2016/11/24/20161123dog00m200026000c.html

Monkees - Daydream Believer
https://www.youtube.com/watch?v=nU615FaODCg

Thursday, November 17, 2016


ฝ่ายอนิเมชั่นของ Studio Khara บอกรออีกนิด กำลังเข็น Evangelion ภาคสุดท้ายอยู่ และงานนิทรรศการครบรอบ 10 ปี Studio khara

ในงาน London Comic Con ที่ผ่านมา Honda Takeshi ผู้กำกับฝ่ายอนิเมชั่นของ Rebuild of Evangelion ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง UKA ในหลายประเด็น แต่จุดที่เรา ๆ คงอยากทราบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นว่า เมื่อไหร่จะได้ดู Evangelion ภาคสุดท้ายสักที ซึ่งในตอนท้ายของบทสัมภาษณ์ Honda ก็ได้ให้คำตอบกับเรามาดังนี้

UKA: "สุดท้ายนี้อยากจะฝากอะไรถึง แฟน ๆ อนิเม และแฟน ๆ Evangelion ใน UK บ้างไหม?"
Honda: "จริง ๆ แล้วเรากำลังดำเนินการผลิต Evangelion ตัวใหม่อยู่เลยนะ เรากำลังทำงานกันอย่างหนัก จนกว่ามันเสร็จสมบูรณ์ออกมา ก็ขอขอบคุณสำหรับทุกคนที่รอคอย และก็ขอให้อดทนกันอีกนิด เพราะนี่จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว"

ก็เป็นคำตอบที่ทำให้เรามีกำลังใจรอขึ้นมาอีกนิด หลังจากที่ปล่อยให้แฟน ๆ รอกันมาจนจะลืม (วันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมาครบรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ Evangelion 3.0 ฉายพอดี) ส่วน Hideaki Anno ผู้กำกับใหญ่ หลังจากเสร็จงาน Shin Godzilla แล้วก็กลับมาเดินโปรเจ็กต่อได้เสียที

นอกจากนี้แล้วทาง Studio Khara ยังจะจัดนิทรรศการครบรอบ 10 ปี ตั้งแต่ 23 พ.ย. จนถึงเดือนหน้า ใครไปญี่ปุ่นและสนใจก็ไปเข้าชมได้ที่ Tokyo Laforet Museum Harajuku (ค่าเข้า 500 yen) โดยจะเป็นการจัดแสดงผลงานของ Hideaki Anno ไปจนถึงการขายสินค้า และของที่ระลึกต่าง ๆ จากซีรี่ย์ Evangelion อีกด้วย

ติดตามได้ในเพจ
https://www.facebook.com/MAGzseen/

Sunday, November 13, 2016

แนะนำหนังเหงา ๆ ส่องรถไฟ ชมดวงดาว ของผู้กำกับ Makoto Shinkai


สำหรับใครที่ไปดู #Yourname แล้วหรือยังไม่ได้ดูแต่อยากตามผลงานอื่น ๆ ของผู้กำกับ Makoto Shinkai ก็ขอแนะนำผลงานสร้างชื่อของเขาเสียหน่อย ซึ่งดูแล้วจะเข้าใจว่า #รถไฟ และ #ความเหงา แทรกอยู่ในหนังทุกเรื่องของเขาจริง ๆ

1. The Voices of a Distant Star (2002) เหงาแบบ sci-fi เป็นหนังสั้นสร้างชื่อเรื่องแรก ๆ ของเขาเลยทีเดียว เพราะพี่แกเล่นทำทุกอย่างเองหมด ทั้งบท วิช่วล แสงสีเสียงรวมไปถึงเสียงพากย์ นี่ถ้าพากย์ผู้หญิงได้แกทำไปแล้ว เรื่อง​สื่อถึงความรักที่มี Time & Space เป็นอุปสรรค

2. The Place Promised in Our Early Days (2004) เหงาแบบง่วง ๆ คือไม่อยากว่าเลย งานภาพถือว่าคุณภาพสูงตามระเบียบ การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ในการดำเนินเรื่องเป็น post war ก็น่าสนใจ แต่ส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องที่สนุกน้อยที่สุดของหนัง Shinkai ตอนหยิบจากชั้นวางมาดูเพราะปกล้วน ๆ (ซื้อ Box-set มา ซื้อเรื่องนี้แถมเรื่องแรก^​ แต่เรื่องแรกรู้สึกสนุกกว่า) ตัวหนังค่อนข้างช้า เคยเปิดดูแล้วหลับไปเสียด้วยซ้ำ

3. 5 Centimeters Per Second (2007) ดูแล้วจุก คือเรื่องอื่น ๆ ตัวละครก็ไม่ได้สมหวังไปกว่ากันหรอก แต่นี่มัน Holy mother of loneliness ชัด ๆ ผู้ชมต่างสรรเสริญเรื่องนี้ว่าเป็นสุดยอดอนิเมชั่นที่ไม่ได้สร้างโดยลุงมิยาซากิ จนตั้งชื่อเขาว่ามิยาซากิคนใหม่ทีเดียว เนื้อเรื่องเป็นเรื่องความรักที่ไม่สมหวังซึ่งคนทั่วไปคงเคยสัมผัสกันมาบ้าง แต่ด้วยการเล่าขั้นเทพและกระแทกตับแรง ๆ เรื่องนี้จึงขึ้นหิ้งโดนใจคนจำนวนมาก แล้วมุกรถไฟก็ระบาดจากเรื่องนี้นี่แหละ

4. Children Who Chase Lost Voices (2011) ไม่รู้ว่าเพราะคนยอแกว่าเป็นมิยาซากิคนถัดไปมากเกินหรือเปล่า เลยทำให้เรื่องถัดมาที่แกทำมีกลิ่นไอของหนัง ghibli คลุ้งไปหมด เรื่องนี้เล่าถึงความรักที่มีความตายเป็นตัวขวางกั้น ซึ่งไปพาดเกี่ยวคอนเซ็ปต์​ความสัมพันธ์​ระหว่างคนกับธรรมชาติ​ที่มิยาซากิชื่นชอบเข้าไปเต็มรัก แต่ก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว งานวาดตัวละครดีขึ้นมากจากเรื่องก่อน ๆ ดูแล้วอยากกลับไปดู Princess Mononoke อีกรอบ

5. The Garden of Words (2013) เป็นเรื่องที่งานภาพไร้ที่ติจริง ๆ ตัวหนังไม่ยาวมาก เนื้อหาเล่าถึงความรักต่างวัยผสมกับรักต้องห้ามพอประมาณ หนุ่มม.ปลายที่ตกหลุมรักสาววัยทำงาน ทั้งสองจะมาเจอกันในเช้าวันที่ฝนตก ณ สวนสาธารณะเป็นประจำ สาววัยทำงานคนนี้เป็นใครกันนะ? ดูจบคุณจะภาวนาให้ฝนตกขึ้นมาทันที

และสุดท้ายคือ Your Name ชื่อสั้น ๆ นี่แหละที่รวบรวมเอาประสบการณ์ ใส่ข้อดี เกลาข้อด้อย​ของชินไค และสร้างสรรค์ออกมาเป็นภาพยนตร์​รายได้ถล่มทลายตัวนี้ เอาเป็นว่าใครดูแล้วก็อย่าสปอยล์ และอย่าลืมเข้าไปดูในโรงกันให้ได้ ตลาดภาพยนตร์​บ้านเราจะได้มีความหลากหลายมากขึ้นเนอะ
www.facebook.com/MAGzseen

Monday, October 24, 2016

Resident Evil ครบรอบ 20 ปี ย้อนตำนานความหลอนสมัยเยาว์วัย


20 ปี เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน และสำหรับเกมที่ยังอยู่ยั้งยืนยงจนถึงทุกวันนี้ได้ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าแฟรนไชน์เกมนั้นกลายเป็นอมตะไปแล้ว และในโอกาสที่ Resident Evil หรือที่สมัยเด็กเราเรียกว่า ไบโอ (Bio hazard) ครบรอบ 20 ปี เราลองมาย้อนควมหลังกันสักเล็กน้อยดีกว่า
ตัวผู้เขียนเองแม้จะไม่แก่กว่าซีรี่ย์นี้เท่าไหร่ แต่ก็รู้จักกับมันมาตั้งแต่ภาคแรก บนเครื่อง Playstation 1 และเกมนี้มีอิมแพคต่อชีวิตมาก อย่างแรกคือความสยองในคฤหาสถ์ ครับ น่ากลัวเป็นบ้า กราฟฟิกกาก ๆ บนเครื่อง PS1 น่ะแหละ เพราะความที่อยู่ในพื้นที่จำกัด อีกอย่างหนึ่งคือระบบควบคุมแบบ Tank (รถถัง) กดเดินจะเดินตรงอย่างเดียว ต้องกดหมุนตัวไปในทางที่ต้องการก่อน (มีทั้งคนด่าคนชม พอรีมาสเตอร์เลยสามารถเลือกได้ว่าจะควบคุมแบบไหน) Puzzle ในเกมก็มีเยอะมากผิดพลาดไปถึงกับตาย และสุดท้ายคือทรัพยากรมีจำกัด ทั้งกระสุน ยา ช่องเก็บของ หรือแม้กระทั่งการเซฟเกม เอาจริงถ้าไม่มีบทสรุปให้คงได้วนอยู่ในเกมนี้นานกว่าเดิมหลายเท่าตัว
Fun Fact: ในตอนแรก Resident Evil ถูกตั้งเป้าว่าจะเป็นเกม 3D FPS แบบ Doom แต่ Fujiwara ดีไซเนอร์บอกว่าด้วยพลังของเครื่อง PS1 คงทำให้เกมนี้น่ากลัวไม่ไหว

เนื้อเรื่องของ Resident Evil ในภาคแรกอยู่ในแนว Mad Scientist คือมีคฤหาสถ์เก่าแก่อยู่หลังนึง ถูกทิ้งร้างอยู่ชานเมือง Raccoon กลุ่ม S.T.A.R.S ถูก ส่งเข้าไปตรวจสอบ ปรากฎว่า Alpha team สาบสูญ จึงส่ง Bravo ทีมไปตายเพิ่ม จากการตรวจสอบปรากฎว่าภายในคฤหาสถ์ มีการทดลองสร้างอาวุธชีวภาพขึ้นแต่เกิดเหตุผิดพลาดทำให้เจ้าหน้าที่ติดเชื้อ T-Virus ทำให้ภายในมีทั้ง ซอมบี้ และสัตว์ทดลองยั้วเยี้ยไปหมด อย่างไรก็ตามการที่หน่วย S.TA.R.S ถูกส่งมาที่นี่เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อกวาดล้างคนในทีมทั้งหมด ในเกมสามารถเลือกตัวละครได้สองตัว Jill Valentine และ Chris Redfield ซึ่งมีเนื้อเรื่องต่างกันไป
 Fun Fact: ในภาคแรกเดิมมีระบบ Aim Assist ให้จึงเล็งไม่ยากนัก แต่เวอร์ชันที่ขายในอเมริกาตัดส่วนนี้ทิ้ง แถมลดไอเท็ม เพิ่มซอมบี้ จึงยากเป็นพิเศษ

จุดที่ทำให้ Resident Evil กลายเป็นที่จดจำถึงทุกวันนี้มีหลายจุดด้วยกัน อย่างแรกคือเกมนี้ทำให้แนว Horror กลายเป็นสากลจนขายดีเป็นเทน้ำก่อนที่จะถูก Final Fantasy VII แซงในปีถัดมา เพราะปกติเกมสยองขวัญมักจะทำมาให้คนเฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น Clock Tower หรือ Fatal Frame ก็ตามปรากฎการณ์ของ RE จึงถือว่าสะเทือนวงการ อีกอย่างคือระบบเกมที่ดี จริง ๆ แล้วการควบคุมแบบ Tank เป็นระบบที่ดีนะ แต่เพราะเวอร์ชันที่ขายในอเมริกามันไม่มี Aim Assist ให้นี่แหละ ทำให้คนด่าเยอะ ภายหลังทำ Resident Evil 4 ขึ้นมาเปลี่ยนเป็นมุมมองข้ามไหล่ก็กลายเป็นมุมมองสากลไปอีกครั้ง


สำหรับใครอยากสัมผัสความหลอนแบบคลาสสิคใน Resident Evil ภาคแรก สามารถลองได้ทั้งบน PC และ คอนโซล สำหรับคนที่เป็นสมาชิก PSPlus บน PS4 สามารถรับเล่นได้ฟรี ๆ จนสิ้นเดือนนี้ สำหรับสาย Steam ก็เสียเงิน 647 บาท กับเกมในตำนานนี้ได้เช่นกัน ตามนี้ http://store.steampowered.com/app/304240/    

Tuesday, September 20, 2016

Shin-Godzilla หมัดฮุกเข้าหน้าอเมริกันชน ปลุกความหวังชาวญี่ปุ่น ฝากอย่าพาเด็กน้อยเข้าไปดู

DeviantArt
อย่างที่เค้าว่ากัน ต้นตำรับย่อมเข้าใจในสิ่งที่เขาสร้าง ถึงอย่างนั้น Shin-Godzilla ก็ทำให้ประหลาดใจไม่น้อย เพราะใครจะไปนึกว่า Hideaki Anno ผู้กำเนิดความสิ้นหวังในโลกอนิเมจาก Evangelion จะสร้างภาพยนตร์ที่ปลุกความหวัง ผนวกแนวคิดชาตินิยมให้กับชาวญี่ปุ่นได้ขนาดนี้
คร่าว ๆ Shin-Godzilla เป็นเรื่องราวของสัตว์ประหลาดที่กำเนิดขึ้นจากการดูดซึมกากกัมมันตรังสีที่อยู่ใต้ทะเลลึกอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี จากนั้นได้ขึ้นมาบนบกและวิวัฒนการแบบฉับพลันจนกลายเป็น Godzilla (Gojira) อย่างที่เห็นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตัวภาพยนตร์โฟกัสกลับไม่ใช่ตัว Godzilla หากแต่เป็นการรับมือของมนุษย์ที่เราจะได้เห็นความร่วมมือ และความขัดแย้งในทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกญี่ปุ่น ดังนั้นหากต้องการดูฉากแอคชั่นยาว ๆ นี่ไม่ใช่หนังสำหรับคุณ

Hideaki Anno กับ Shinji Higuchi คู่ที่ร่วมงานกันเสมอมา
สิ่งที่เห็นได้ชัดใน Shin-godzilla คือความรู้สึกของมนุษย์ที่ต้องยอมรับคุณ Anno ว่ามีความคุ้นเคยกับการถ่ายทอดบรรยากาศความตึงเครียดผ่านทางสีหน้า ดังนั้นเวลาที่ตัวละครต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง กล้องมักจะซูมใบหน้าจนเต็มจอเสมอเพื่อให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมในการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้งานกำกับของ Anno ยังทำให้เราย้อนนึกถึงงานเก่าอย่าง Evangelion อยู่หลายอย่าง ทั้งตัวหนังสือใหญ่ ๆ พาดบนหน้าจอ การถ่ายภาพบรรยากาศที่หยุดนิ่ง รวมถึงการนำรถถัง ยุทโธปกรณ์ มาเรียงเป็นระเบียบก่อนพังทิ้งยังทำให้รู้สึก Satisfied ได้เสมอ

ฉากนี้ดูยิ่งใหญ่มาก แต่ฉากแบบนี้ไม่ได้มีเยอะนะ
ระบบวัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่นก็ถูกนำเสนอเช่นกัน เราจะได้เห็นวิธีการรับมือกับสัตว์ประหลาดด้วยมุมมองของชาวญี่ปุ่น คนอายุน้อยมักไม่ได้รับความเชื่อถือ และจะเห็นเลยว่านายกรัฐมนตรีต้องรับความกดดันในการตัดสินใจมากขนาดไหน (แม้นายกในเรื่องส่วนใหญ่จะพูดแค่คำว่า “เข้าใจแล้ว” ก็ตาม)
สุดท้าย ตามพาดหัว Shin-Godzilla เป็นชาวท่าแซะที่แซะอเมริกาเสียจนถึงกึ๋น อย่างการกดดันประเทศอื่น ๆ ให้ทำตาม และยิงนู๊ค ให้มันจบ ๆ แต่เขาก็มองประเทศอื่นดีนะ ให้ความร่วมมือแต่ก็ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ดูเรียลดี สำคัญที่สุด Shin-Godzilla เป็นหนังปลุกกระแสชาตินิยม ให้ญี่ปุ่นก้าวเดินด้วยตัวเองบ้าง ส่วนตัวขนาดไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นยังถูกพาให้รู้สึกฮึกเหิมไปด้วยเลย เป็นอะไรที่ทำให้ประหลาดใจมากเพราะรู้กันว่า Anno ทำ Evangelion มาด้วยการแสดงความสิ้นหวังขนาดไหน แต่นั่นก็ทำให้เขาพาเราลงไปเห็นความสิ้นหวังได้ก่อนที่จะฉุดเราขึ้นมาและรู้สึกว่าความหวังนั้นมีค่ามากกว่าที่เคยรู้สึกมาก่อน



ป.ล.จากนี้ก็รอดูปฏิกิริยาของชาวอเมริกาที่มีต่อหนังเรื่องนี้กัน แต่เค้าคงชอบแหละคนเราชอบแซะรัฐบาลกันจะตาย เนอะ แต่ไม่รู้แนวหนังแบบนี้เค้าจะชอบกันรึเปล่า
ป.ล.2 อย่าพาเด็กเล็กไปดูจะดีกว่านะ เค้าจะดูไม่รู้เรื่องแล้วจะเดือดร้อนคนอื่นเอา รอบที่ดูไปก็ทีนึงแล้ว
ติดตามข่าวจาก MAGzseen ได้ที่นี่

Tuesday, September 13, 2016

New Danganronpa V3 เผยตัวเอกและตัวละครชุดใหม่ทั้งหมด บน PS4, Vita






Spike chunsoft ออก PV ใหม่ Danganronpa V3: Minna no Koroshiai Shin Gakki เผยตัวเอกกับตัวละครที่เป็นชุดใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงเรื่องราวก็ไม่ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งความหวังเดิมแล้ว แต่มาสคอตอย่างโมโนคุมะจะยังอยู่กวนประสาทต่อไป

สำหรับตัวเอกของเรื่องในภาคนี้เป็นผู้หญิงในชื่อ อาคามัทสึ คาเอเดะ ให้เสียงโดย ซายากะ คันดะ ที่ให้เสียงตัวละคร เอโนชิมะ จุนโกะ ในภาค 1-2 และร้องเพลงเปิดและปิดในอนิเมภาค 3 (Mirai) นั่นเอง

อาคามัทสึ คาเอเดะ ให้เสียงโดย ซายากะ คันดะ

 Danganronpa V3 จะลงให้กับเครื่อง PS4 และ Vita ในเดือนมกราคมนี้ ใครที่เป็นแฟนซีรี่ย์แต่ไม่สันทัดภาษาญี่ปุ่นก็รอเวอร์ชันภาษาอังกฤษกันได้ สำหรับ PC คงต้องรอทาง chunsoft ออกมาเผยอีกที

ใครที่ยังไม่เคยลองเกมในซีรี่ย์นี้สามารถหาซื้อได้ใน Steam ทั้ง ภาค 1 - 2 ในราคาภาคละ 559 บาท ถ้าเหมาแพคคู่ลดราคาร้อยกว่าบาทเหลือ 1006.20 บาท ทั้งนี้ทั้งนั้นภาคนี้เป็นเรื่องราวใหม่สามารถรอเล่นภาคนี้ได้เลยโดยไม่ต้องย้อนไปเล่นภาคเก่า

PV ยังคงเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่

source: https://www.youtube.com/watch?v=7c7... (PV ตัวเต็ม)
              http://www.famitsu.com/news/201609/...


Sunday, September 11, 2016

นักวิพากษ์วัฒนธรรมกล่าว Shin-Godzilla และ Kimi no Na wa เป็นสัญญาณสิ้นสุดยุคหนึ่งของโอตาคุมืดมน



ได้มีโอกาสอ่านบทความภาษาอังกฤษที่รวบรวมจากต้นทางภาษาญี่ปุ่น เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาแปลเรียบเรียงและเผยแพร่ต่อครับ



อย่างที่พอจะได้ยินข่าวกันมาบ้างเกี่ยวกับความสำเร็จของภาพยนตร์ Kimi no Na wa โดย ชินไค มาโคโตะที่ฝากผลงานสุดโรแมนติกดูแล้วเหงาไว้หลายเรื่อง และ Shin-Godzilla จากผู้กำกับที่ชอบเรียงรถถังเป็นโดมิโนแล้วระเบิดเล่นใน Evangelion อย่าง ฮิเดอากิ อันโน และ ชินจิ ฮิกูจิ แม้ทั้งสองเรื่องจะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่นักวิพากษ์วัฒนธรรมอย่าง ฮิโรกิ อาสึมะ ชี้ให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังความสำเร็จนี้ อาสึมะ ได้อ้างอิงบทวิเคราะห์เรื่อง Kimi no Na wa จาก ไดสึเกะ วาตานาเบะ ในมุมมองของเรื่องแนว sekai-kei (เป็นแนวที่ชะตากรรมของโลก หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถูกผูกเอาไว้กับความสัมพันธ์ของตัวละครคู่หนึ่ง) และ เกม bishojo (เกมแนวที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับหญิงสาวต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมสูงในญี่ปุ่น) โดย อาสึมะได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

ผมเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของคุณวาตานาเบะว่า sekai-kei กับเกม bishojo ได้รับความนิยมสูงจากการมอบความสุขสมหวังให้กับตัวละคร แต่สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่จุดเริ่มของยุคสมัยใหม่ หากแต่เป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัย ให้พูดง่าย ๆ หลังจากดู Shin-Godzilla กับ Kimi no Na wa จบ ผมรู้สึกถึงสื่อโอตาคุที่สิ้นสุดลง ทั้ง Gainax โอตาคุ (ยุคที่หนึ่ง) และ sekai-kei โอตาคุ (ยุคที่สอง) ต่างเติบโตมาถึงจุดที่นำเสนอตัวละครที่รักและยอมรับตัวตนของตัวเองมากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับจากมวลชน ในขณะที่โอตาคุที่แสดงภาพที่ไร้ความหวังและไร้จุดหมายกลับหายไป ซึ่งก็เป็นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี สำหรับผมที่ผ่านประวัติศาสตร์สื่อโอตาคุมาตั้งแต่ปี 1971 มาจนถึงปัจจุบัน ปีนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเลยทีเดียว


ก็ดูเป็นมุมมองของนักวิพากษ์ทางวิชาการดีนะ ตอนนี้บอร์ดฝรั่งกำลังเถียงกันว่าที่มันพูดหมายความว่ายังไงระหว่าง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปและโอตาคุในความหมายเดิม ๆ ได้สิ้นสุดลงและได้รับการยอมรับมากขึ้น กับ การสื่อตัวละครที่แสดงความสิ้นหวังมืดมนไร้อนาคตอย่างในซีรี่ย์ Evangelion มันหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นตัวละครมีความสุขในตอนท้ายแทน ดูจากบริบทแล้วคิดว่าอย่างหลังนะ


ฮิโรกิ อาสึมะ ถือเป็นนักวิพากษ์ทางสังคมที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลอย่างมาก เขาศึกษาในเรื่องของวัฒนธรรมย่อยของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1993 และมีความเชียวชาญโดยเฉพาะในเรื่องวัฒนธรรม โอตาคุ เกม และอินเทอร์เน็ต

Friday, September 9, 2016

Golden Kamuy แอ่วเหนือชมวัฒนธรรมไอนุ ก่อนลงสังเวียนล่าแผนที่หนังมนุษย์


Golden Kamui วางเหตุการณ์ไว้ในช่วงหลังสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นซึ่งถือว่าเป็นสงครามครั้งแรก ๆ ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 (1904-1905) “สุกิโมโตะ ไซจิ” เป็นพลทหารกองพลที่ 1 แห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เอาชีวิตรอดมาจากแนวหน้าสนามรบได้ด้วยวิธีการต่อสู้ที่บ้าบิ่น จึงถูกตั้งฉายาว่า สุกิโมโตะผู้เป็นอมตะ แม้ไซจิจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ “โทราจิ” เพื่อนสนิทกลับตายไปพร้อมทิ้งภรรยาที่ป่วยด้วยโรคร้ายให้อยู่คนเดียว ไซจิกลับมาจึงอาสาช่วยเหลือโดยการไปค้นหาทองคำที่ฮอกไกโดเพื่อนำกลับไปเป็นค่ารักษา และได้ทราบเรื่องแผนที่ขุมทรัพย์ที่สลักอยู่บนหลังนักโทษที่แหกคุกกระจัดกระจายไปทั่วทางเหนือ ไซจิจึงเริ่มออกเดินทางล่าแผ่นหลังมนุษย์โดยได้เจอกับ “อาชิริปา” เด็กสาวชาวไอนุระหว่างทางและร่วมเดินทางด้วยกัน
การมาเจอกันของ "อะชิริปา" และ "สึกิโมโต"

ในส่วนการนำเสนอ Golden Kamui เป็นมังงะที่นำเสนอวัฒนธรรมและฉากต่อสู้ในลักษณะเป็นแนวคู่ขนานที่แยกจากกันชัดเจน แม้โครงเรื่องหลักจะเป็นการพจญภัยเพื่อค้นหาแผนที่ขุมทรัพย์ แต่ตัวมังงะจะมีจุดเช็คพอยต์อยู่เสมอ โดยหลังจากจบฉากต่อสู้สุดเข้มข้นไปแล้ว ก็จะสลับเข้าส่วนที่บอกเล่าถึงวัฒนธรรมซึ่งดูสนุก ตลกและไม่ทำให้รู้สึกสะดุดต่อเนื้อหาแม้แต่น้อย ในส่วนของวัฒนธรรมนั้นจะบอกเล่าถึงชาวไอนุ และเน้นไปทางด้านอาหารการกินเสียส่วนใหญ่จนบางครั้งก็จะทำให้รู้สึกว่าเป็นการ์ตูนแนวทำอาหาร (พิศดาร) ไป อย่างภาพนี้ที่ไซจิซ่อนลูกหมีไว้เพราะกลัวอะชิริปาจับกิน (ฮา)
ไว้ชีวิตลูกหมีตัวนี้ด้วยเถอะ!!

สิ่งที่ต้องชื่นชมเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้คือด้านข้อมูลที่มีสาระแทรกอยู่มากแต่ความกระด้างของข้อมูลก็ถูกทำให้ซอฟต์ลง เข้าถึงง่าย และไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกถูกบังคับให้เสพข้อมูลที่นอกเหนือจากเนื้อเรื่องหลัก ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยความน่ารักของนางเอกที่คนอ่านยอมใจให้ ในทางกลับกันคือเมื่อถึงเวลาบู๊ความโหดของภาพเรียกได้ว่าสะใจวัยรุ่น จนเรียกได้ว่าคนเขียนน่าจะลืมขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วกระมัง ด้วยความครบเครื่องของเรื่องนี้จึงให้คะแนนไป 9.5/10 ในช่วงหลัง ๆ ฉากต่อสู้เพิ่มขึ้นเยอะ ทำให้ส่วนวัฒนธรรมอ่อนลงไปก็ขอกั๊กคะแนนไว้หน่อยหละ
เดือดมาจากไหนเฮีย

Golden Kamui  (ゴールデンカムイ) เขียนโดย “Noda Satoru” จาก Shueisha ได้รับรางวัล “Manga Taisho Award” ครั้งที่ 9 รางวัลวัฒนธรรม “เทสึกะ โอซามุ”  และ Kodansha Manga Award สาขาทั่วไป ปัจจุบันที่ญี่ปุ่นออกถึงเล่ม 7 (ก.ย. 2016) ไทยยังไม่ได้ลิขสิทธิ์เน้อ
ปกเล่มแรก
ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ
www.facebook.com/MAGzseen


Sony เปิดพรีออเดอร์ h.ear on (MDR-100A) หูฟัง Hi-res โมเดลใหม่ลาย Hatsune Miku


เรียกได้ว่าแฟน ๆ หนูมิกุ (รวมถึงอั๊ว) ได้ฟินน้ำเดินกันเป็นแถว หลังจากน้องเขาได้เข้าไปอยู่ทั้งบน Xperia และ WALKMAN ของ SONY ไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวหูฟัง h.ear ON หูฟัง Hi-res โทนสดใส ที่ทาง SONY ภูมิใจนำเสนอในรหัส (MDR-100A) The Hatsune Miku editions ซึ่งได้ IXIMA ผู้วาดมิกุ official เจ้าเดิมมาออกแบบให้ โดยจะแบ่งเป็น 2 สี ต่างโมเดลกัน คือโมเดล "Miku" และ "Producer"

โมเดลแรก Miku คุ้นเคยกันดีกับสี viridian blue กับรูปน้องมิกุโชว์หราบนหูฟังทั้งซ้ายขวา

ถัดมาเรียกได้ว่าเปลี่ยนแนวกันบ้างกับโมเดล Producer โดยบนหูฟังจะมีลายให้เลือก ซึ่งก็เป็นลายของเหล่าโปรดิวเซอร์ที่รู้จักกันดี 3 เจ้า ได้แก่ Deco*27, Mitchie M และ Pinocchio P (ไม่มี Sasakura.UK เหรอ TT) 

หูฟังทั้งสองรุ่นนี้จะวางจำหน่ายในราคา 23900 เยน (ประมาณ 8100 บาท) สำหรับการขายจริงจะจำกัดเพียงสองวันเท่านั้น คือ 25-26 ตุลาคม ใครคิดว่าไม่ได้ซื้อแหงก็ยังสามารถไปดูของจริงได้ที่ญี่ปุ่น ในงาน Hatsune Miku Magical Future วันที่ 9-11 กันยายน และจะมีการจัดแสดงและขายใน shop ของ sony ใน นาโกย่า โอซากา ฟุกุโอกะจำนวนจำกัด ในวันที่ 24 กันยายน 

http://www.sony.jp/headphone/store/special/mdr-100a-miku/index.html

ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ

Thursday, September 8, 2016

Otoyomegatari บันทึกทางชาติพันธุ์วิทยาฉบับหนังสือการ์ตูน

Otoyomegatari (乙嫁語り) - “Kaoru Mori” - [Enterbrain]
เจ้าสาวแห่งทางสายไหม - A Bride's Story - (Siam Inter Comics)
10/10 บันทึกทางชาติพันธุ์วิทยาฉบับหนังสือการ์ตูน




เนื้อเรื่องวางช่วงเวลาไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมปลายศตวรรษที่ 19 (18xx) แถบเอเชียกลาง (โซนประเทศที่ลงท้ายด้วยสถาน เช่น ปากีฯ, คาซัคฯ) โดยมี “คาร์ลุค” เด็กหนุ่มวัย 12 ที่ต้องแต่งงานกับ “อมิรา” จากชนเผ่าเลี้ยงสัตว์วัย 20 ปี การเล่าเรื่องแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตประจำวันภายในชนเผ่า รวมไปถึงการเดินทางของนาย “เฮนรี่ สมิธ” นักวิจัยชาวอังกฤษที่ต้องเดินทางผ่านกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายตลอดเส้นทางสายไหม ซึ่งแต่ละสถานที่จะมีปมเรื่องราวของวัฒนธรรม ความรักเป็นของตัวเอง และพิธีการแต่งงานก็จะเป็นจุดคลี่คลายของแต่ละปมปัญหา



ตามปกติแล้วเรามักจะเห็นมังงะญี่ปุ่นวางสถานที่เรื่องราวของตนเองไว้ในสองแห่งใหญ่ ๆ นั่นคือในตัวญี่ปุ่นเอง หรือไม่ก็ในแถบทวีปยุโรป เนื่องจากมี material ที่สามารถอ้างอิงได้อยู่เป็นจำนวนมาก และสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะเห็นนักเขียนวางตำแหน่งเรื่องราวไว้ในส่วนอื่นของโลก โดยเฉพาะเจ้าสาวแห่งทางสายไหมที่ดำเนินเรื่องในแถบเอเชียกลาง



เจ้าสาวแห่งทางสายไหมเป็นมังงะที่มีความลุ่มลึกทั้งในฐานะของการเป็นการ์ตูนโรแมนติก และในฐานะของการเป็นบันทึกทางวัฒนธรรมที่ใกล้จะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ เนื่องจากผู้วาดเก็บรายละเอียดข้อมูลของเอเชียกลางในอดีตได้ดีมากทั้งการเข้ามาของชาติยุโรป วัฒนธรรมที่สอดคล้องในยุคสมัย ความละเอียดละออนี้ปรากฎได้ชัดในงานวาดที่ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของผ้า เครื่องประดับต่าง ๆ ที่เห็นแล้วต้องทึ่งว่าต้องใช้ความทุ่มเทขนาดไหนในการวาด (คนวาดแกบอกสนุกด้วยนะ) สิ่งที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคือตัวละครที่มีเสน่ห์และทำให้หลงไหลและชวนอมยิ้มได้แม้แต่ตัวละครรองเองก็ตาม ตอนนี้ไทยถือลิขสิทธิ์อยู่โดย SIC เจ้าเดิม (เล่ม 6) ใครสนใจก็ลองหามาอ่านกันได้

เจ้าสาวแห่งเส้นทางสายไหม หรือ Otoyomegatari การันตีความสนุกด้วยรางวัล Manga Taisho Awards ครั้งที่ 7 และชนะเลิศในงานเทศกาลการ์ตูนนานาชาติที่ฝรั่งเศส ปี 2012



ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ
www.facebook.com/MAGzseen
#manga #review #otoyomegatari

Sunday, September 4, 2016

Dungeon Meshi (ダンジョン飯) - Ryoko Kui - [Enterbrain]
7/10 ตัวอย่างที่ชัดเจนของมังงะยุคโพสต์โมเดิร์น


มังงะแนวผู้กล้าอาจจะมีให้เห็นเยอะแยะในญี่ปุ่นมาหลายยุค แต่ในศตวรรษนี้การนำโครงเรื่องเก่ามาจัดโครงสร้างใหม่ได้กลายเป็นเสน่ห์ของมังงะในยุค postmodern ไปแล้วเช่นกัน อย่าง Dungeon Meshi เองที่โครงเรื่องคือไลออสจัดปาร์ตี้เพื่อช่วยน้องสาวและค้นหาเมืองทองคำในดันเจี้ยน แต่ใจความของเรื่องแทนที่จะเป็นแนวบู๊จัดขจัดมอน กลับเป็นแนวทำอาหารที่ทำจากมอนสเตอร์ผสมมุกตลกโปกฮาไปซะยังงั้น หลายคนอาจสงสัยว่าแบบนี้จะเหมือน “โทริโกะ” ป่าววะ อั๊วก็บอกเลยว่าไม่เหมือน เพราะโทริโกะนั้นค่อนข้างเป็นมังงะสายหลักเน้นฉากแอคชั่นเพราะลงรายสัปดาห์ แต่สำหรับเรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าผู้เขียนจะต้องมีข้อมูล reference ไว้เยอะพอตัวเพราะแม้จะเป็นการทำอาหารจากมอนสเตอร์ แต่ทั้งวิธีปรุง การใช้วัตถุดิบ ส่วนไหนอร่อยไม่อร่อย ก็มักเป็นข้อมูลที่อิงจากคอมมอนเซนส์ทั้งนั้น (และละเอียดมาก ๆ )


โดยรวบรัดแล้ว Dungeon Meshi เป็นมังงะแนวทำอาหาร มีมุกตลกที่ไม่ฝืดและอ่านได้เพลิน ๆ สำหรับญี่ปุ่นตอนนี้ออกถึงเล่ม 3 และตอนนี้ยังไม่มีลิขสิทธิ์ที่ไทย สำหรับใครที่มีเวลาว่าง ๆ อยากอ่านการ์ตูนตลกเบาสมองบวกสาระแนวแฟนตาซี เรื่องนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว
ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ
www.facebook.com/MAGzseen

Thursday, September 1, 2016

วนประจบครบเดือนกันอีกครั้งก็ได้เวลารับเกมฟรีสำหรับสมาชิก PSplus ในเดือนกันยายน 2016 นี้ ส่วนจะมีอะไรบ้างก็ไปดูกันเล้ย

Zone 1 USA
Journey [PS4, PS3]
http://goo.gl/ZTMXcP
Lords of the Fallen [PS4]
http://goo.gl/WuQj3x
Badland PS Vita [PS4, PS3, PS Vita]
http://goo.gl/M59TcV
Prince of Persia: The Forgotten Sands [PS3]
http://goo.gl/J65UFI
Datura [PS3]
http://goo.gl/ZPxksH
Amnesia: Memories [PS Vita]
http://goo.gl/7HgZY8
Zone 3 ASIA
Journey [PS4, PS3]
http://goo.gl/ZTMXcP
Rebel Galaxi [PS4]
http://goo.gl/dWhXdK
Toukiden (JP,CH Ver) [PS Vita]
http://goo.gl/Xm1S90
Senran Kagura SHINOVI VERSUS
(JP, EN ver) [PS Vita]
http://goo.gl/0Ljv20
From Dust [PS3]
http://goo.gl/RILjAx
Datura [PS3]
http://goo.gl/ZPxksH
ดูเทียบกันแล้วก็ถอนหายใจแรง โซน 3 นี่ลูกเมียน้อยจริง ๆ ใครโดนเกมไหนก็เตรียมโหลดได้เลย ส่วนใครหลังหักก็ขอให้หายเร็ว ๆ ครับผม
@เสี่ย
#โซนหนึ่ง #โซนสาม #psplus #game #free #playstation #freegame

Nioh (demo) [PS4]
8.5/10


จากค่ายที่เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก จนถึงทุกวันนี้ Koei Tecmo ก็ยังทำการแพร่เชื้อเกมมุโซว (musou) ไปทั่วทุกแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งสามก๊ก เซนโกกุ กันดั้ม และล่าสุดแม้แต่ไททัน กับเบอร์เซิร์ก ก็มิวายโดนจับไปทำมุโซวเดินหน้าฆ่าทิ้งหมด ซึ่งก็จะมีฤกษ์งามนาน ๆ ครั้งที่จะปล่อยเกมแนวอื่นออกมาแก้เลี่ยนบ้างอย่าง ninja gaiden หรือ dead or alive และฤกษ์นั้นก็เวียนกลับมาอีกครั้ง กับเกมใหม่ (ที่ยังไม่ออก) “Nioh” บนเครื่อง PS4 นั่นเอง
จากที่ตัวแอดเล่นเดโมที่ปล่อยมาแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกมนี้ได้แรงบันดาลใจ (?) จากซีรี่ย์ darksouls มาประมาณ 60% เลยแหละ เนื่องจากระบบหลาย ๆ อย่างละม้ายคล้ายกันเสียเหลือเกิน อย่างระบบโซล การควบคุม แมพ ระบบออนไลน์ และความยากระดับปาจอยทิ้ง แต่หลังจากเล่นจบแอดรู้สึกชอบมากและคิดว่าน่าจะจัดแน่ ๆ ด้วยสาเหตุเยอะแยะดังนี้
เนื้อหา - ตัวเกมนี้ตั้งตามยุคสมัยจริงคือในช่วง ค.ศ.1600 ของญี่ปุ่นที่เกิดสงครามยุคกลางชื่อดังอย่างเซคิกาฮาระขึ้นแอดเองก็ไม่ทราบว่าจะมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเนื้อเรื่อง เพราะยังเป็นแค่ตัว demo อยู่ แต่ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะทำให้เนื้อหาของเกมมีเสน่ห์ขึ้นมาได้ แม้เนื้อหาจะไม่ลึกขนาด darksouls ก็ตาม การต่อสู้ในเกมจะแบ่งเป็นการต่อสู้กับมนุษย์ และต่อสู้กับโยวไค (youkai) ปีศาจพวกนี้ก็อิงจากเหล่าผี ๆ ตามตำนานของญี่ปุ่นน่ะแหละ
เกมเพลย์ - แน่นอน ยาก ส่วนตัวคิดว่ายากกว่า darksouls เสียอีก เป็นไปได้ว่าทางค่ายเกมคงต้องการทำให้ยากขึ้นเพื่อบลัฟ darksouls ที่หลาย ๆ คนชินกับระบบไปแล้ว เลยออกตัวเดโมมาให้ยากขนาดนี้ ถ้าหากโดนรุมก็เตรียมคิดหาทางกลับมาเก็บโซลไว้เลย ทางระบบเกมมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกใหม่อย่างการเปลี่ยนท่าทางการโจมตีได้หลายแบบ และสแตนด์เทพเท่ ๆ ประจำกาย เช่น สตาร์แพลตินั…เอ้ยเทพจิ้งจอกอะไรแบบนี้ ส่วนปุ่มกดนี่ใช้คอมโบแบบมุโซวมาเลย สี่เหลี่ยม ๆ สามเหลี่ยม ซึ่งก็ทำให้กดมันดี ในเมื่อตัวเดโมยังสนุกขนาดนี้ตัวแอดก็เลยอดไม่ได้ที่จะบ้าจี้อยากซื้อตัวเต็มมาเล่น
กราฟฟิค - เรียกได้ว่างดงามผิดวิสัย koei ที่มักจะปั้นตัวละครและโมเดลออกมาเรียบ ๆ ง่าย ๆ มาใน Nioh นี้ถือว่าทำการบ้านมาดีมากเพราะลง detail ได้ค่อนข้างละเอียด อีกทั้งบรรยากาศของเกมยังทำให้นึกถึงเกมชื่อดังในอดีตอย่าง Onimusha ขึ้นมาอีกด้วยก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากเล่นมากขึ้นไปอีก
ข้อติ - สำคัญเลยคือการเคลื่อนไหวไม่ไหลลื่นเท่าของ darksouls เพราะเสียเวลากับอนิเมชั่นตัวละครมากไป เล่นมาซักพักยังไม่เจอ npc ถ้าไม่มีก็ถือเป็นอีกข้อเสีย ซับไตเติ้ลตัวเล็ก ชอบโผล่มาเวลาสู้ (ซึ่งต้องใช้สมาธิ) ทำให้พลาดบทพูดไปหลาย ๆ ครั้งเพราะบทบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น
ทิ้งท้าย - ในตัวเดมโมนี้หากเล่นจบภายในวันที่ 6 ก.ย. นี้จะได้รับโบนัสไอเทมในเกมตัวเต็มด้วยนะ ดังนั้นถึงแม้เกมยังไม่กำหนดวันปล่อย แต่สำหรับคนที่จะซื้อแน่ ๆ ก็อย่าลืมรีบ ๆ ไปโหลดมาเล่นกันเน้อชาว PS4