Tuesday, September 20, 2016

Shin-Godzilla หมัดฮุกเข้าหน้าอเมริกันชน ปลุกความหวังชาวญี่ปุ่น ฝากอย่าพาเด็กน้อยเข้าไปดู

DeviantArt
อย่างที่เค้าว่ากัน ต้นตำรับย่อมเข้าใจในสิ่งที่เขาสร้าง ถึงอย่างนั้น Shin-Godzilla ก็ทำให้ประหลาดใจไม่น้อย เพราะใครจะไปนึกว่า Hideaki Anno ผู้กำเนิดความสิ้นหวังในโลกอนิเมจาก Evangelion จะสร้างภาพยนตร์ที่ปลุกความหวัง ผนวกแนวคิดชาตินิยมให้กับชาวญี่ปุ่นได้ขนาดนี้
คร่าว ๆ Shin-Godzilla เป็นเรื่องราวของสัตว์ประหลาดที่กำเนิดขึ้นจากการดูดซึมกากกัมมันตรังสีที่อยู่ใต้ทะเลลึกอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี จากนั้นได้ขึ้นมาบนบกและวิวัฒนการแบบฉับพลันจนกลายเป็น Godzilla (Gojira) อย่างที่เห็นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตัวภาพยนตร์โฟกัสกลับไม่ใช่ตัว Godzilla หากแต่เป็นการรับมือของมนุษย์ที่เราจะได้เห็นความร่วมมือ และความขัดแย้งในทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกญี่ปุ่น ดังนั้นหากต้องการดูฉากแอคชั่นยาว ๆ นี่ไม่ใช่หนังสำหรับคุณ

Hideaki Anno กับ Shinji Higuchi คู่ที่ร่วมงานกันเสมอมา
สิ่งที่เห็นได้ชัดใน Shin-godzilla คือความรู้สึกของมนุษย์ที่ต้องยอมรับคุณ Anno ว่ามีความคุ้นเคยกับการถ่ายทอดบรรยากาศความตึงเครียดผ่านทางสีหน้า ดังนั้นเวลาที่ตัวละครต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง กล้องมักจะซูมใบหน้าจนเต็มจอเสมอเพื่อให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมในการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้งานกำกับของ Anno ยังทำให้เราย้อนนึกถึงงานเก่าอย่าง Evangelion อยู่หลายอย่าง ทั้งตัวหนังสือใหญ่ ๆ พาดบนหน้าจอ การถ่ายภาพบรรยากาศที่หยุดนิ่ง รวมถึงการนำรถถัง ยุทโธปกรณ์ มาเรียงเป็นระเบียบก่อนพังทิ้งยังทำให้รู้สึก Satisfied ได้เสมอ

ฉากนี้ดูยิ่งใหญ่มาก แต่ฉากแบบนี้ไม่ได้มีเยอะนะ
ระบบวัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่นก็ถูกนำเสนอเช่นกัน เราจะได้เห็นวิธีการรับมือกับสัตว์ประหลาดด้วยมุมมองของชาวญี่ปุ่น คนอายุน้อยมักไม่ได้รับความเชื่อถือ และจะเห็นเลยว่านายกรัฐมนตรีต้องรับความกดดันในการตัดสินใจมากขนาดไหน (แม้นายกในเรื่องส่วนใหญ่จะพูดแค่คำว่า “เข้าใจแล้ว” ก็ตาม)
สุดท้าย ตามพาดหัว Shin-Godzilla เป็นชาวท่าแซะที่แซะอเมริกาเสียจนถึงกึ๋น อย่างการกดดันประเทศอื่น ๆ ให้ทำตาม และยิงนู๊ค ให้มันจบ ๆ แต่เขาก็มองประเทศอื่นดีนะ ให้ความร่วมมือแต่ก็ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ดูเรียลดี สำคัญที่สุด Shin-Godzilla เป็นหนังปลุกกระแสชาตินิยม ให้ญี่ปุ่นก้าวเดินด้วยตัวเองบ้าง ส่วนตัวขนาดไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นยังถูกพาให้รู้สึกฮึกเหิมไปด้วยเลย เป็นอะไรที่ทำให้ประหลาดใจมากเพราะรู้กันว่า Anno ทำ Evangelion มาด้วยการแสดงความสิ้นหวังขนาดไหน แต่นั่นก็ทำให้เขาพาเราลงไปเห็นความสิ้นหวังได้ก่อนที่จะฉุดเราขึ้นมาและรู้สึกว่าความหวังนั้นมีค่ามากกว่าที่เคยรู้สึกมาก่อน



ป.ล.จากนี้ก็รอดูปฏิกิริยาของชาวอเมริกาที่มีต่อหนังเรื่องนี้กัน แต่เค้าคงชอบแหละคนเราชอบแซะรัฐบาลกันจะตาย เนอะ แต่ไม่รู้แนวหนังแบบนี้เค้าจะชอบกันรึเปล่า
ป.ล.2 อย่าพาเด็กเล็กไปดูจะดีกว่านะ เค้าจะดูไม่รู้เรื่องแล้วจะเดือดร้อนคนอื่นเอา รอบที่ดูไปก็ทีนึงแล้ว
ติดตามข่าวจาก MAGzseen ได้ที่นี่

Tuesday, September 13, 2016

New Danganronpa V3 เผยตัวเอกและตัวละครชุดใหม่ทั้งหมด บน PS4, Vita






Spike chunsoft ออก PV ใหม่ Danganronpa V3: Minna no Koroshiai Shin Gakki เผยตัวเอกกับตัวละครที่เป็นชุดใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงเรื่องราวก็ไม่ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งความหวังเดิมแล้ว แต่มาสคอตอย่างโมโนคุมะจะยังอยู่กวนประสาทต่อไป

สำหรับตัวเอกของเรื่องในภาคนี้เป็นผู้หญิงในชื่อ อาคามัทสึ คาเอเดะ ให้เสียงโดย ซายากะ คันดะ ที่ให้เสียงตัวละคร เอโนชิมะ จุนโกะ ในภาค 1-2 และร้องเพลงเปิดและปิดในอนิเมภาค 3 (Mirai) นั่นเอง

อาคามัทสึ คาเอเดะ ให้เสียงโดย ซายากะ คันดะ

 Danganronpa V3 จะลงให้กับเครื่อง PS4 และ Vita ในเดือนมกราคมนี้ ใครที่เป็นแฟนซีรี่ย์แต่ไม่สันทัดภาษาญี่ปุ่นก็รอเวอร์ชันภาษาอังกฤษกันได้ สำหรับ PC คงต้องรอทาง chunsoft ออกมาเผยอีกที

ใครที่ยังไม่เคยลองเกมในซีรี่ย์นี้สามารถหาซื้อได้ใน Steam ทั้ง ภาค 1 - 2 ในราคาภาคละ 559 บาท ถ้าเหมาแพคคู่ลดราคาร้อยกว่าบาทเหลือ 1006.20 บาท ทั้งนี้ทั้งนั้นภาคนี้เป็นเรื่องราวใหม่สามารถรอเล่นภาคนี้ได้เลยโดยไม่ต้องย้อนไปเล่นภาคเก่า

PV ยังคงเป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่

source: https://www.youtube.com/watch?v=7c7... (PV ตัวเต็ม)
              http://www.famitsu.com/news/201609/...


Sunday, September 11, 2016

นักวิพากษ์วัฒนธรรมกล่าว Shin-Godzilla และ Kimi no Na wa เป็นสัญญาณสิ้นสุดยุคหนึ่งของโอตาคุมืดมน



ได้มีโอกาสอ่านบทความภาษาอังกฤษที่รวบรวมจากต้นทางภาษาญี่ปุ่น เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาแปลเรียบเรียงและเผยแพร่ต่อครับ



อย่างที่พอจะได้ยินข่าวกันมาบ้างเกี่ยวกับความสำเร็จของภาพยนตร์ Kimi no Na wa โดย ชินไค มาโคโตะที่ฝากผลงานสุดโรแมนติกดูแล้วเหงาไว้หลายเรื่อง และ Shin-Godzilla จากผู้กำกับที่ชอบเรียงรถถังเป็นโดมิโนแล้วระเบิดเล่นใน Evangelion อย่าง ฮิเดอากิ อันโน และ ชินจิ ฮิกูจิ แม้ทั้งสองเรื่องจะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่นักวิพากษ์วัฒนธรรมอย่าง ฮิโรกิ อาสึมะ ชี้ให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังความสำเร็จนี้ อาสึมะ ได้อ้างอิงบทวิเคราะห์เรื่อง Kimi no Na wa จาก ไดสึเกะ วาตานาเบะ ในมุมมองของเรื่องแนว sekai-kei (เป็นแนวที่ชะตากรรมของโลก หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ถูกผูกเอาไว้กับความสัมพันธ์ของตัวละครคู่หนึ่ง) และ เกม bishojo (เกมแนวที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับหญิงสาวต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมสูงในญี่ปุ่น) โดย อาสึมะได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

ผมเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของคุณวาตานาเบะว่า sekai-kei กับเกม bishojo ได้รับความนิยมสูงจากการมอบความสุขสมหวังให้กับตัวละคร แต่สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่จุดเริ่มของยุคสมัยใหม่ หากแต่เป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัย ให้พูดง่าย ๆ หลังจากดู Shin-Godzilla กับ Kimi no Na wa จบ ผมรู้สึกถึงสื่อโอตาคุที่สิ้นสุดลง ทั้ง Gainax โอตาคุ (ยุคที่หนึ่ง) และ sekai-kei โอตาคุ (ยุคที่สอง) ต่างเติบโตมาถึงจุดที่นำเสนอตัวละครที่รักและยอมรับตัวตนของตัวเองมากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับจากมวลชน ในขณะที่โอตาคุที่แสดงภาพที่ไร้ความหวังและไร้จุดหมายกลับหายไป ซึ่งก็เป็นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี สำหรับผมที่ผ่านประวัติศาสตร์สื่อโอตาคุมาตั้งแต่ปี 1971 มาจนถึงปัจจุบัน ปีนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเลยทีเดียว


ก็ดูเป็นมุมมองของนักวิพากษ์ทางวิชาการดีนะ ตอนนี้บอร์ดฝรั่งกำลังเถียงกันว่าที่มันพูดหมายความว่ายังไงระหว่าง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปและโอตาคุในความหมายเดิม ๆ ได้สิ้นสุดลงและได้รับการยอมรับมากขึ้น กับ การสื่อตัวละครที่แสดงความสิ้นหวังมืดมนไร้อนาคตอย่างในซีรี่ย์ Evangelion มันหายไป แล้วเปลี่ยนเป็นตัวละครมีความสุขในตอนท้ายแทน ดูจากบริบทแล้วคิดว่าอย่างหลังนะ


ฮิโรกิ อาสึมะ ถือเป็นนักวิพากษ์ทางสังคมที่มีชื่อเสียงและอิทธิพลอย่างมาก เขาศึกษาในเรื่องของวัฒนธรรมย่อยของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1993 และมีความเชียวชาญโดยเฉพาะในเรื่องวัฒนธรรม โอตาคุ เกม และอินเทอร์เน็ต

Friday, September 9, 2016

Golden Kamuy แอ่วเหนือชมวัฒนธรรมไอนุ ก่อนลงสังเวียนล่าแผนที่หนังมนุษย์


Golden Kamui วางเหตุการณ์ไว้ในช่วงหลังสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่นซึ่งถือว่าเป็นสงครามครั้งแรก ๆ ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 (1904-1905) “สุกิโมโตะ ไซจิ” เป็นพลทหารกองพลที่ 1 แห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เอาชีวิตรอดมาจากแนวหน้าสนามรบได้ด้วยวิธีการต่อสู้ที่บ้าบิ่น จึงถูกตั้งฉายาว่า สุกิโมโตะผู้เป็นอมตะ แม้ไซจิจะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ “โทราจิ” เพื่อนสนิทกลับตายไปพร้อมทิ้งภรรยาที่ป่วยด้วยโรคร้ายให้อยู่คนเดียว ไซจิกลับมาจึงอาสาช่วยเหลือโดยการไปค้นหาทองคำที่ฮอกไกโดเพื่อนำกลับไปเป็นค่ารักษา และได้ทราบเรื่องแผนที่ขุมทรัพย์ที่สลักอยู่บนหลังนักโทษที่แหกคุกกระจัดกระจายไปทั่วทางเหนือ ไซจิจึงเริ่มออกเดินทางล่าแผ่นหลังมนุษย์โดยได้เจอกับ “อาชิริปา” เด็กสาวชาวไอนุระหว่างทางและร่วมเดินทางด้วยกัน
การมาเจอกันของ "อะชิริปา" และ "สึกิโมโต"

ในส่วนการนำเสนอ Golden Kamui เป็นมังงะที่นำเสนอวัฒนธรรมและฉากต่อสู้ในลักษณะเป็นแนวคู่ขนานที่แยกจากกันชัดเจน แม้โครงเรื่องหลักจะเป็นการพจญภัยเพื่อค้นหาแผนที่ขุมทรัพย์ แต่ตัวมังงะจะมีจุดเช็คพอยต์อยู่เสมอ โดยหลังจากจบฉากต่อสู้สุดเข้มข้นไปแล้ว ก็จะสลับเข้าส่วนที่บอกเล่าถึงวัฒนธรรมซึ่งดูสนุก ตลกและไม่ทำให้รู้สึกสะดุดต่อเนื้อหาแม้แต่น้อย ในส่วนของวัฒนธรรมนั้นจะบอกเล่าถึงชาวไอนุ และเน้นไปทางด้านอาหารการกินเสียส่วนใหญ่จนบางครั้งก็จะทำให้รู้สึกว่าเป็นการ์ตูนแนวทำอาหาร (พิศดาร) ไป อย่างภาพนี้ที่ไซจิซ่อนลูกหมีไว้เพราะกลัวอะชิริปาจับกิน (ฮา)
ไว้ชีวิตลูกหมีตัวนี้ด้วยเถอะ!!

สิ่งที่ต้องชื่นชมเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้คือด้านข้อมูลที่มีสาระแทรกอยู่มากแต่ความกระด้างของข้อมูลก็ถูกทำให้ซอฟต์ลง เข้าถึงง่าย และไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกถูกบังคับให้เสพข้อมูลที่นอกเหนือจากเนื้อเรื่องหลัก ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยความน่ารักของนางเอกที่คนอ่านยอมใจให้ ในทางกลับกันคือเมื่อถึงเวลาบู๊ความโหดของภาพเรียกได้ว่าสะใจวัยรุ่น จนเรียกได้ว่าคนเขียนน่าจะลืมขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้วกระมัง ด้วยความครบเครื่องของเรื่องนี้จึงให้คะแนนไป 9.5/10 ในช่วงหลัง ๆ ฉากต่อสู้เพิ่มขึ้นเยอะ ทำให้ส่วนวัฒนธรรมอ่อนลงไปก็ขอกั๊กคะแนนไว้หน่อยหละ
เดือดมาจากไหนเฮีย

Golden Kamui  (ゴールデンカムイ) เขียนโดย “Noda Satoru” จาก Shueisha ได้รับรางวัล “Manga Taisho Award” ครั้งที่ 9 รางวัลวัฒนธรรม “เทสึกะ โอซามุ”  และ Kodansha Manga Award สาขาทั่วไป ปัจจุบันที่ญี่ปุ่นออกถึงเล่ม 7 (ก.ย. 2016) ไทยยังไม่ได้ลิขสิทธิ์เน้อ
ปกเล่มแรก
ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ
www.facebook.com/MAGzseen


Sony เปิดพรีออเดอร์ h.ear on (MDR-100A) หูฟัง Hi-res โมเดลใหม่ลาย Hatsune Miku


เรียกได้ว่าแฟน ๆ หนูมิกุ (รวมถึงอั๊ว) ได้ฟินน้ำเดินกันเป็นแถว หลังจากน้องเขาได้เข้าไปอยู่ทั้งบน Xperia และ WALKMAN ของ SONY ไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวหูฟัง h.ear ON หูฟัง Hi-res โทนสดใส ที่ทาง SONY ภูมิใจนำเสนอในรหัส (MDR-100A) The Hatsune Miku editions ซึ่งได้ IXIMA ผู้วาดมิกุ official เจ้าเดิมมาออกแบบให้ โดยจะแบ่งเป็น 2 สี ต่างโมเดลกัน คือโมเดล "Miku" และ "Producer"

โมเดลแรก Miku คุ้นเคยกันดีกับสี viridian blue กับรูปน้องมิกุโชว์หราบนหูฟังทั้งซ้ายขวา

ถัดมาเรียกได้ว่าเปลี่ยนแนวกันบ้างกับโมเดล Producer โดยบนหูฟังจะมีลายให้เลือก ซึ่งก็เป็นลายของเหล่าโปรดิวเซอร์ที่รู้จักกันดี 3 เจ้า ได้แก่ Deco*27, Mitchie M และ Pinocchio P (ไม่มี Sasakura.UK เหรอ TT) 

หูฟังทั้งสองรุ่นนี้จะวางจำหน่ายในราคา 23900 เยน (ประมาณ 8100 บาท) สำหรับการขายจริงจะจำกัดเพียงสองวันเท่านั้น คือ 25-26 ตุลาคม ใครคิดว่าไม่ได้ซื้อแหงก็ยังสามารถไปดูของจริงได้ที่ญี่ปุ่น ในงาน Hatsune Miku Magical Future วันที่ 9-11 กันยายน และจะมีการจัดแสดงและขายใน shop ของ sony ใน นาโกย่า โอซากา ฟุกุโอกะจำนวนจำกัด ในวันที่ 24 กันยายน 

http://www.sony.jp/headphone/store/special/mdr-100a-miku/index.html

ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ

Thursday, September 8, 2016

Otoyomegatari บันทึกทางชาติพันธุ์วิทยาฉบับหนังสือการ์ตูน

Otoyomegatari (乙嫁語り) - “Kaoru Mori” - [Enterbrain]
เจ้าสาวแห่งทางสายไหม - A Bride's Story - (Siam Inter Comics)
10/10 บันทึกทางชาติพันธุ์วิทยาฉบับหนังสือการ์ตูน




เนื้อเรื่องวางช่วงเวลาไว้ในช่วงเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมปลายศตวรรษที่ 19 (18xx) แถบเอเชียกลาง (โซนประเทศที่ลงท้ายด้วยสถาน เช่น ปากีฯ, คาซัคฯ) โดยมี “คาร์ลุค” เด็กหนุ่มวัย 12 ที่ต้องแต่งงานกับ “อมิรา” จากชนเผ่าเลี้ยงสัตว์วัย 20 ปี การเล่าเรื่องแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตประจำวันภายในชนเผ่า รวมไปถึงการเดินทางของนาย “เฮนรี่ สมิธ” นักวิจัยชาวอังกฤษที่ต้องเดินทางผ่านกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายตลอดเส้นทางสายไหม ซึ่งแต่ละสถานที่จะมีปมเรื่องราวของวัฒนธรรม ความรักเป็นของตัวเอง และพิธีการแต่งงานก็จะเป็นจุดคลี่คลายของแต่ละปมปัญหา



ตามปกติแล้วเรามักจะเห็นมังงะญี่ปุ่นวางสถานที่เรื่องราวของตนเองไว้ในสองแห่งใหญ่ ๆ นั่นคือในตัวญี่ปุ่นเอง หรือไม่ก็ในแถบทวีปยุโรป เนื่องจากมี material ที่สามารถอ้างอิงได้อยู่เป็นจำนวนมาก และสามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะเห็นนักเขียนวางตำแหน่งเรื่องราวไว้ในส่วนอื่นของโลก โดยเฉพาะเจ้าสาวแห่งทางสายไหมที่ดำเนินเรื่องในแถบเอเชียกลาง



เจ้าสาวแห่งทางสายไหมเป็นมังงะที่มีความลุ่มลึกทั้งในฐานะของการเป็นการ์ตูนโรแมนติก และในฐานะของการเป็นบันทึกทางวัฒนธรรมที่ใกล้จะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์ เนื่องจากผู้วาดเก็บรายละเอียดข้อมูลของเอเชียกลางในอดีตได้ดีมากทั้งการเข้ามาของชาติยุโรป วัฒนธรรมที่สอดคล้องในยุคสมัย ความละเอียดละออนี้ปรากฎได้ชัดในงานวาดที่ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของผ้า เครื่องประดับต่าง ๆ ที่เห็นแล้วต้องทึ่งว่าต้องใช้ความทุ่มเทขนาดไหนในการวาด (คนวาดแกบอกสนุกด้วยนะ) สิ่งที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคือตัวละครที่มีเสน่ห์และทำให้หลงไหลและชวนอมยิ้มได้แม้แต่ตัวละครรองเองก็ตาม ตอนนี้ไทยถือลิขสิทธิ์อยู่โดย SIC เจ้าเดิม (เล่ม 6) ใครสนใจก็ลองหามาอ่านกันได้

เจ้าสาวแห่งเส้นทางสายไหม หรือ Otoyomegatari การันตีความสนุกด้วยรางวัล Manga Taisho Awards ครั้งที่ 7 และชนะเลิศในงานเทศกาลการ์ตูนนานาชาติที่ฝรั่งเศส ปี 2012



ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ
www.facebook.com/MAGzseen
#manga #review #otoyomegatari

Sunday, September 4, 2016

Dungeon Meshi (ダンジョン飯) - Ryoko Kui - [Enterbrain]
7/10 ตัวอย่างที่ชัดเจนของมังงะยุคโพสต์โมเดิร์น


มังงะแนวผู้กล้าอาจจะมีให้เห็นเยอะแยะในญี่ปุ่นมาหลายยุค แต่ในศตวรรษนี้การนำโครงเรื่องเก่ามาจัดโครงสร้างใหม่ได้กลายเป็นเสน่ห์ของมังงะในยุค postmodern ไปแล้วเช่นกัน อย่าง Dungeon Meshi เองที่โครงเรื่องคือไลออสจัดปาร์ตี้เพื่อช่วยน้องสาวและค้นหาเมืองทองคำในดันเจี้ยน แต่ใจความของเรื่องแทนที่จะเป็นแนวบู๊จัดขจัดมอน กลับเป็นแนวทำอาหารที่ทำจากมอนสเตอร์ผสมมุกตลกโปกฮาไปซะยังงั้น หลายคนอาจสงสัยว่าแบบนี้จะเหมือน “โทริโกะ” ป่าววะ อั๊วก็บอกเลยว่าไม่เหมือน เพราะโทริโกะนั้นค่อนข้างเป็นมังงะสายหลักเน้นฉากแอคชั่นเพราะลงรายสัปดาห์ แต่สำหรับเรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าผู้เขียนจะต้องมีข้อมูล reference ไว้เยอะพอตัวเพราะแม้จะเป็นการทำอาหารจากมอนสเตอร์ แต่ทั้งวิธีปรุง การใช้วัตถุดิบ ส่วนไหนอร่อยไม่อร่อย ก็มักเป็นข้อมูลที่อิงจากคอมมอนเซนส์ทั้งนั้น (และละเอียดมาก ๆ )


โดยรวบรัดแล้ว Dungeon Meshi เป็นมังงะแนวทำอาหาร มีมุกตลกที่ไม่ฝืดและอ่านได้เพลิน ๆ สำหรับญี่ปุ่นตอนนี้ออกถึงเล่ม 3 และตอนนี้ยังไม่มีลิขสิทธิ์ที่ไทย สำหรับใครที่มีเวลาว่าง ๆ อยากอ่านการ์ตูนตลกเบาสมองบวกสาระแนวแฟนตาซี เรื่องนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว
ติดตามรีวิวใหม่ ๆ ได้ทุกวันในเพจ
www.facebook.com/MAGzseen

Thursday, September 1, 2016

วนประจบครบเดือนกันอีกครั้งก็ได้เวลารับเกมฟรีสำหรับสมาชิก PSplus ในเดือนกันยายน 2016 นี้ ส่วนจะมีอะไรบ้างก็ไปดูกันเล้ย

Zone 1 USA
Journey [PS4, PS3]
http://goo.gl/ZTMXcP
Lords of the Fallen [PS4]
http://goo.gl/WuQj3x
Badland PS Vita [PS4, PS3, PS Vita]
http://goo.gl/M59TcV
Prince of Persia: The Forgotten Sands [PS3]
http://goo.gl/J65UFI
Datura [PS3]
http://goo.gl/ZPxksH
Amnesia: Memories [PS Vita]
http://goo.gl/7HgZY8
Zone 3 ASIA
Journey [PS4, PS3]
http://goo.gl/ZTMXcP
Rebel Galaxi [PS4]
http://goo.gl/dWhXdK
Toukiden (JP,CH Ver) [PS Vita]
http://goo.gl/Xm1S90
Senran Kagura SHINOVI VERSUS
(JP, EN ver) [PS Vita]
http://goo.gl/0Ljv20
From Dust [PS3]
http://goo.gl/RILjAx
Datura [PS3]
http://goo.gl/ZPxksH
ดูเทียบกันแล้วก็ถอนหายใจแรง โซน 3 นี่ลูกเมียน้อยจริง ๆ ใครโดนเกมไหนก็เตรียมโหลดได้เลย ส่วนใครหลังหักก็ขอให้หายเร็ว ๆ ครับผม
@เสี่ย
#โซนหนึ่ง #โซนสาม #psplus #game #free #playstation #freegame

Nioh (demo) [PS4]
8.5/10


จากค่ายที่เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก จนถึงทุกวันนี้ Koei Tecmo ก็ยังทำการแพร่เชื้อเกมมุโซว (musou) ไปทั่วทุกแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งสามก๊ก เซนโกกุ กันดั้ม และล่าสุดแม้แต่ไททัน กับเบอร์เซิร์ก ก็มิวายโดนจับไปทำมุโซวเดินหน้าฆ่าทิ้งหมด ซึ่งก็จะมีฤกษ์งามนาน ๆ ครั้งที่จะปล่อยเกมแนวอื่นออกมาแก้เลี่ยนบ้างอย่าง ninja gaiden หรือ dead or alive และฤกษ์นั้นก็เวียนกลับมาอีกครั้ง กับเกมใหม่ (ที่ยังไม่ออก) “Nioh” บนเครื่อง PS4 นั่นเอง
จากที่ตัวแอดเล่นเดโมที่ปล่อยมาแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกมนี้ได้แรงบันดาลใจ (?) จากซีรี่ย์ darksouls มาประมาณ 60% เลยแหละ เนื่องจากระบบหลาย ๆ อย่างละม้ายคล้ายกันเสียเหลือเกิน อย่างระบบโซล การควบคุม แมพ ระบบออนไลน์ และความยากระดับปาจอยทิ้ง แต่หลังจากเล่นจบแอดรู้สึกชอบมากและคิดว่าน่าจะจัดแน่ ๆ ด้วยสาเหตุเยอะแยะดังนี้
เนื้อหา - ตัวเกมนี้ตั้งตามยุคสมัยจริงคือในช่วง ค.ศ.1600 ของญี่ปุ่นที่เกิดสงครามยุคกลางชื่อดังอย่างเซคิกาฮาระขึ้นแอดเองก็ไม่ทราบว่าจะมีความเกี่ยวข้องยังไงกับเนื้อเรื่อง เพราะยังเป็นแค่ตัว demo อยู่ แต่ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้เป็นเรื่องไม่ยากเลยที่จะทำให้เนื้อหาของเกมมีเสน่ห์ขึ้นมาได้ แม้เนื้อหาจะไม่ลึกขนาด darksouls ก็ตาม การต่อสู้ในเกมจะแบ่งเป็นการต่อสู้กับมนุษย์ และต่อสู้กับโยวไค (youkai) ปีศาจพวกนี้ก็อิงจากเหล่าผี ๆ ตามตำนานของญี่ปุ่นน่ะแหละ
เกมเพลย์ - แน่นอน ยาก ส่วนตัวคิดว่ายากกว่า darksouls เสียอีก เป็นไปได้ว่าทางค่ายเกมคงต้องการทำให้ยากขึ้นเพื่อบลัฟ darksouls ที่หลาย ๆ คนชินกับระบบไปแล้ว เลยออกตัวเดโมมาให้ยากขนาดนี้ ถ้าหากโดนรุมก็เตรียมคิดหาทางกลับมาเก็บโซลไว้เลย ทางระบบเกมมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกใหม่อย่างการเปลี่ยนท่าทางการโจมตีได้หลายแบบ และสแตนด์เทพเท่ ๆ ประจำกาย เช่น สตาร์แพลตินั…เอ้ยเทพจิ้งจอกอะไรแบบนี้ ส่วนปุ่มกดนี่ใช้คอมโบแบบมุโซวมาเลย สี่เหลี่ยม ๆ สามเหลี่ยม ซึ่งก็ทำให้กดมันดี ในเมื่อตัวเดโมยังสนุกขนาดนี้ตัวแอดก็เลยอดไม่ได้ที่จะบ้าจี้อยากซื้อตัวเต็มมาเล่น
กราฟฟิค - เรียกได้ว่างดงามผิดวิสัย koei ที่มักจะปั้นตัวละครและโมเดลออกมาเรียบ ๆ ง่าย ๆ มาใน Nioh นี้ถือว่าทำการบ้านมาดีมากเพราะลง detail ได้ค่อนข้างละเอียด อีกทั้งบรรยากาศของเกมยังทำให้นึกถึงเกมชื่อดังในอดีตอย่าง Onimusha ขึ้นมาอีกด้วยก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากเล่นมากขึ้นไปอีก
ข้อติ - สำคัญเลยคือการเคลื่อนไหวไม่ไหลลื่นเท่าของ darksouls เพราะเสียเวลากับอนิเมชั่นตัวละครมากไป เล่นมาซักพักยังไม่เจอ npc ถ้าไม่มีก็ถือเป็นอีกข้อเสีย ซับไตเติ้ลตัวเล็ก ชอบโผล่มาเวลาสู้ (ซึ่งต้องใช้สมาธิ) ทำให้พลาดบทพูดไปหลาย ๆ ครั้งเพราะบทบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น
ทิ้งท้าย - ในตัวเดมโมนี้หากเล่นจบภายในวันที่ 6 ก.ย. นี้จะได้รับโบนัสไอเทมในเกมตัวเต็มด้วยนะ ดังนั้นถึงแม้เกมยังไม่กำหนดวันปล่อย แต่สำหรับคนที่จะซื้อแน่ ๆ ก็อย่าลืมรีบ ๆ ไปโหลดมาเล่นกันเน้อชาว PS4